เตรียมพบกับการปฏิวัติการจัดเก็บภาษีจากกรมสรรพากร ด้วยการเดินหน้าสู่ Tax Administration 3.0 ที่ทางกรมสรรพากรจะผสานระบบภาษีแบบครบวงจรเข้ากับชีวิตประจำวัน ด้วยการดึงเทคโนโลยีเข้ามาใช้งาน ช่วยเพิ่มความสะดวกต่อผู้เสียภาษีได้มากขึ้น ลดภาระและความเหลื่อมล้ำด้านภาษี และที่ขาดไม่ได้คือ การสร้างรายได้ให้กับภาครัฐอย่างยั่งยืน
รู้จัก Tax Administration 3.0 จากกรมสรรพากร
แนวคิด Tax Administration 3.0 ของทางกรมสรรพากรนั้น ทางด้าน นายปั่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ได้กล่าวถึงระบบดังกล่าวนี้ว่า เป็นการจัดเก็บภาษีในอนาคต ที่ทั่วโลกต่างก็มุ่งเป็น Tax Administration 3.0 ทั้งสิ้น เพราะเป็นการฝังระบบภาษีเข้าไปในระบบที่ผู้เสียภาษีใช้ในธุรกิจหรือชีวิตประจำวัน ซึ่งแนวคิดนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้มากขึ้น ทำให้การจัดการภาษีไร้รอยต่อหรือไร้แรงเสียดทาน ซึ่งแนวคิดนี้จะเป็นเป้าหมายสำคัญทางกรมสรรพากรเช่นกัน
โดยระบบ Tax Administration 3.0 จะเป็นการฝังภาษีเข้าไปในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงชีวิตประจำวันของประชาชน ไม่ว่าจะเป็น การยื่นแบบ การชำระภาษี หรือแม้กระทั่งการรายงานข้อมูล ที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ควบคู่ไปกับการทำธุรกรรมจริงของประชาชน โดยการเก็บข้อมูลนี้ จะเป็นการจัดเก็บข้อมูลแบบ Real – Time หรือ Near Real – Time ซึ่งจะช่วยให้ทางกรมสรรพากรประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังบังคับใช้กฎหมายเชิงรุกได้
แนวทางการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในอนาคต
สำหรับการดำเนินการของทางกรมสรรพากรในอนาคต จะมีการออกแบบโครงสร้างภาษี โดยจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความสมดุลระหว่างความเป็นธรรมและการเติบโต ซึ่งการจัดเก็บภาษีจะต้องอำนวยรายได้ให้เพียงพอต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งการจัดเก็บภาษีของทางกรมสรรพากร ถือเป็นรายได้หลักของทางภาครัฐ โดยคิดเป็น 78% จากรายได้ของรัฐบาล
แน่นอนว่า แนวคิดดังกล่าวนี้ยังสอดคล้องกับการทบทวนค่าลดหย่อนบางรายการ ที่ทำให้ความก้าวหน้าของระบบภาษีลดลงเช่นกัน ซึ่งทุก ๆ การทบทวนของกรมสรรพากร ก็ต้องสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการดึงคนให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันนี้มีผู้ที่อยู่ในระบบฐานภาษีเพียงแค่ 11 ล้านคน และมีเพียง 4 ล้านคน ที่อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อย
โดยทางกรมสรรพากรยังมีแนวทางการปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ในปัจจุบันกำหนดอัตราการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% ซึ่งอาจมีการพิจารณาภาษีขึ้นเป็น 10% ตามเพดานกฎหมาย เพื่อเพิ่มงบประมาณสำหรับการลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และอาจมีการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจากอัตราขั้นบันได้เป็นอัตราเดียว
ทั้งนี้ ทุก ๆ มาตรการ ยังอยู่ในระหว่างการทบทวนและการพิจารณาของทางกรมสรรพากร ว่าจะปรับเกณฑ์การชำระภาษีหรือปรับเพดานภาษีอะไรบ้าง นอกจากนี้ อาจจะมีภาษีตัวใหม่เข้ามาในระบบ เช่น การเสียภาษีจากกำไรในสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Cryptocurrency เป็นต้น
มัดรวมการปฏิวัติการจัดเก็บภาษี ด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล
นอกเหนือจากประเด็นของ Tax Administration 3.0 ที่เป็นแนวคิดของทางกรมสรรพากรแล้ว ยังมีบริการด้านดิจิทัลอื่น ๆ อีกหลายรายการที่น่าสนใจ ที่จะเข้ามามีบทบาทในอนาคต โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีและ AI เข้ามาในระบบการจัดเก็บภาษีและการบริการที่ครบวงจร เพื่อก้าวเข้าสู่ Tax Administration 3.0 ในอนาคต
1. การบริการดิจิทัลที่ครบวงจร
โดยเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 40 ปี พร้อมการปรับจากการให้บริการแบบ Developer ให้กลายเป็น Platform ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ บริการ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่เติบโตถึง 7 เท่า ภายใน 4 ปี ทั้งยังได้รับการตอบรับที่ดีจากภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการเข้าร่วมกับโครงการภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ Easy E-Receipt สำหรับลดหย่อนภาษีในปี 2567 และ 2568 ที่ผ่านมา
2. การบูรณาการข้อมูล เพื่อปิดช่องว่าง
การพัฒนาของทางกรมสรรพากรยังมีการบูรณาการด้านข้อมูลข่าวสารที่ครบวงจร โดยเฉพาะข้อมูลธุรกรรมจากสถาบันการเงิน รวมถึงข้อมูลจากแพลตฟอร์มออนไลน์ และครอบคลุมไปถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับต่างประเทศ เพื่อปิดช่องว่างด้านข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่ถูกต้อง
3. การใช้ AI เพื่อตรวจสอบการเลี่ยงภาษี
อีกหนึ่งแนวคิดการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ขาดไม่ได้คือ การนำ AI เข้ามาใช้ในการตรวจสอบการเลี่ยงภาษี โดยจะนำปัญญาประดิษฐ์ไปใช้วิเคราะห์ความเสี่ยงของผู้ที่ลบเลี่ยงภาษีโดยอัตโนมัติ พร้อมใช้ AI ในการตรวจสอบความถูกต้องของใบกำกับภาษี และยังมีการร่วมมือกับทาง OECD เพื่อจัดการเศรษฐกิจเงา (Shadow Economy) หรือก็คือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของทางภาครัฐ และไม่มีฐานข้อมูลในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมาย
4. การตามติดบริษัทข้ามชาติ
สำหรับแนวคิดสรรพากรยุคใหม่อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญก็คือ การตามติดบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะการติดตามการถ่ายโอนกำไร พร้อมการใช้รายงาน CbCR (Country-by-Country Report) หรือก็คือการเจาะลึกระบบรายงานข้อมูลรายประเทศ เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางภาษี โดยเฉพาะการเลี่ยงภาษีของบริษัทข้ามชาติ
สรุป
จะเห็นได้เลยว่า แนวคิดของกรมสรรพากรในยุคใหม่ มีการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในหลาย ๆ แง่มุม โดยเฉพาะการนำ AI มาใช้ในระบบ ทั้งการตรวจสอบกิจกรรมทางภาษี การหลักเลี่ยงภาษี หรือแม้กระทั่งเศรษฐกิจเงา ซึ่งในอนาคตก็น่าจะเห็นผลิตภัณฑ์ภาษีใหม่ ๆ ของทางกรมสรรพากรมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบภาษีด้วย Tax Administration 3.0 ที่จะทำให้การเสียภาษีและชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่โยงใยกันในทุก ๆ มิติ ทั้งภาคประชาชนและภาคเอกชน รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการ และเจ้าของธุรกิจ SMEs
ทดลองใช้ฟรีได้ที่ : SMEMOVE
คู่มือการใช้งาน : HELP
ติดตามบทความอื่นๆของ SMEMOVE.com ได้ที่
บทความบัญชี: smemove.com/blog
Facebook: Facebook.com/smemove.th
Youtube: SMEMOVE