ในยุคที่ E – Commerce เติบโต ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเลือกแพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้าหรือบริการ ก็นับว่ามีความสำคัญต่อธุรกิจ SMEs ในยุคนี้เช่นกัน เพราะฉะนั้น SMEMOVE จะพาคนทำธุรกิจมาดูกันว่า แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ มีอะไรบ้าง ที่น่าใช้งาน แล้วการลงขายของออนไลน์ ต้องเริ่มต้นยังไงบ้าง มีแพลตฟอร์มไหนที่น่าใช้งาน สรุปครบทุกข้อมูล พร้อมแนะนำ Online Marketplace ที่มาแรงในปี 2025 นี้
5 แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ น่าใช้ปี 2025
สำหรับการขายของผ่าน Online Marketplace หรือแพลตฟอร์มสำหรับขายของออนไลน์ ในปัจจุบันนี้นับว่ามีให้เลือกหลายแพลตฟอร์มมาก ๆ ทั้งแพลตฟอร์มสำหรับการขายของในไทย หรือแม้แต่แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับขายของสำหรับลูกค้าต่างชาติ โดยแพลตฟอร์มที่มาแรงและน่าใช้งานในปี 2025 นี้ ก็มีหลายแหล่ง ได้แก่
1. Shopee
ในปี 2025 นี้ Shopee นับว่าเป็นแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่มาแรง ที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างมาก ทั้งในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือแม้แต่ธุรกิจที่มีหน้าร้าน ที่ต้องการลุยตลาดออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ โดยจุดเด่นของ Shopee ก็คือมีฐานผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก การออกแบบ UX และ UI ถือว่าตอบโจทย์ผู้ใช้งาน ทำให้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับขาช้อปออนไลน์โดยเฉพาะ และที่สำคัญคือ มีกลุ่มสินค้าหลายกลุ่ม ทำให้เจ้าของธุรกิจ SMEs มีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ทาง Shopee ก็ได้พัฒนาบริการและมีแคมเปญต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้มีการซื้อขายมากขึ้น อาทิ การทำโปรแกรมนายหน้า หรือ Shopee Affiliate
จุดเด่นของ Shopee
- มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ทำให้มีฐานลูกค้าที่กว้าง และมุ่งเน้นเฉพาะผู้ที่ต้องการซื้อจริง ๆ
- มีบริการส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะแคมเปญต่าง ๆ เช่น Mid Year Sale การแจกโค้ดส่วนลด ฯลฯ
- มีบริการ Shopee Express (SPX) ซึ่งตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่มีการส่งของเป็นประจำ
- มีบริการสินเชื่อทางการเงินเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายอย่าง SpayLater ใช้ก่อนจ่ายทีหลัง ทั้งยังเลือกผ่อนได้ เหมาะสำหรับลูกค้าที่ไม่มีเงินก้อน สำหรับสินค้าที่มีราคาสูง
- มีโค้ดส่วนลดพิเศษอยู่เสมอ โดยเฉพาะโค้ดส่วนลดในไลฟ์ หรือ Live Streaming
2. Lazada
สำหรับแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่มาแรงอีกหนึ่งแพลตฟอร์มก็คือ Lazada ที่นักช้อปต้องมีแอปติดมือถือทุกคน โดยเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีโค้ดส่วนลดแจกให้อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขาย นอกจากนี้ ยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการขายของที่ร้านทางการ หรือ LazMall นิยมใช้กัน เพราะมีสิทธิพิเศษค่อนข้างหลากหลาย ส่วนระบบหลังบ้านสามารถจัดการได้ง่าย ซึ่งก็น่าจะตอบโจทย์ SMEs มือใหม่พอสมควร และที่สำคัญคือ มีฐานผู้ใช้งานสูงไม่ต่างจาก Shopee ส่วนบริการทางการเงินก็มี Lazada PayLater ให้ใช้เช่นกัน
จุดเด่นของ Lazada
- ค่าธรรมเนียมสำหรับร้านค้าค่อนข้างคงที่ หากเทียบแล้วถือว่าน้อยกว่า Shopee พอสมควร
- มีการแจก Lazada Bonus ที่ทางลาซาด้าช่วยออกให้ หรือก็คือการ On – Top เพื่อช่วยกระตุ้นการขายให้กับร้านค้าที่เข้าร่วมแคมเปญ
- สามารถใช้ส่วนลดแบบ Top – Up ได้หลายต่อ ทำให้ลูกค้าประหยัดเงินได้มากขึ้น เช่น สามารถใช้ส่วนลดจากการเก็บโค้ด ร่วมกับส่วนลดบัตรเครดิตที่ร่วมรายการได้ เรียกง่าย ๆ ว่า หากอยู่ในเงื่อนไขสามารถใช้ส่วนลดร่วมกันในคำสั่งซื้อนั้น ๆ ได้เลย
- ระบบหลังบ้านและ AI ของ Lazada ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่แม่นยำมาก ๆ หนึ่งแพลตฟอร์ม เพราะสามารถแมตช์สินค้ากับผู้ซื้อได้อย่างแม่นยำ เพิ่มโอกาสทางการขายได้มากกว่า
- ระบบการจัดการของร้านค้าใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก ซึ่งเหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ หรือแม่ค้าออนไลน์ที่เริ่มต้นขายของในแพลตฟอร์ม
3. TikTok
สำหรับการขายของลงบน TikTok ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่มาแรง เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่มีทั้งคอนเทนต์ประเภท Short Video ให้เสพอย่างหลากหลาย ทั้งยังมีคอนเทนต์ครีเอเตอร์ปักตะกร้าหลายคน ทำให้สินค้ามีโอกาสถูกโปรโมตได้มากขึ้น แต่ข้อจำกัดของ TikTok Shop คือ ไม่สามารถปักลิงก์นอกแพลตฟอร์มได้ หรือหากไลฟ์ก็ห้ามพูดถึงแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพราะถือเป็นกฎของทาง TikTok เพราะฉะนั้น ผู้ขายหรือเจ้าของธุรกิจที่ขายของในแพลตฟอร์มนี้ ต้องระมัดระวังเรื่องการสื่อสารด้วย เพื่อไม่ให้เสี่ยงโดนแบนนั่นเอง
จุดเด่นของ TikTok
- เป็นแพลตฟอร์มที่ซื้อง่ายขายคล่อง เพราะผู้ซื้อสามารถกดซื้อสินค้าได้จากคลิปวิดีโอที่ดู ขึ้นอยู่กับการปักตะกร้าของร้านค้า รวมถึงกลุ่มนายหน้า TikTok ด้วยเช่นกัน
- ระบบการ Live ของทาง TikTok ถือว่าค่อนข้าง Real – Time และมีส่วนลดให้สำหรับลูกค้าใหม่ค่อนข้างสูง
- มีบริการส่งฟรีสำหรับร้านค้า ทำให้ไม่ต้องแบกรับภาระการจัดส่งสินค้าจนเกินไป
- เป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้สินค้าติดเทรนด์ได้ง่าย หากทำคอนเทนต์ได้ถูกจุด ซึ่งการทำคอนเทนต์บน TikTok ไม่จำเป็นต้องทำรีวิวเพียงอย่างเดียว แต่สามารถแมตช์กับสไตล์อื่น ๆ ได้ เช่น การทำคอนเทนต์แบบ Storytelling
- การทำคอนเทนต์บน TikTok เป็นวิธีเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายและง่ายมาก ๆ โดยแทบจะไม่ต้องยิง Ads เลยก็ได้ เพียงแค่ทำคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ และใช้ Hashtag ที่เหมาะสม
4. LINE Myshop
หากแบรนด์ไหนที่มีช่องทางการติดต่อผ่านทาง Line Official ก็สามารถลงขายของออนไลน์ผ่านทางแพลตฟอร์ม LINE Myshop ได้เช่นกัน ซึ่งข้อดีคือสามารถทำการโปรโมตจากแหล่งอื่น ๆ เพื่อลิงก์มาซื้อสินค้าผ่านทาง Line Official ได้ ทำให้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเหมือนแพลตฟอร์มอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังเป็นแพลตฟอร์มขายของที่ใช้งานง่าย ฟีเจอร์ไม่ซับซ้อน การจัดการสต็อกก็ไม่ยุ่งยาก ซึ่งก็น่าจะตอบโจทย์การขายสินค้าหรือบริการสำหรับธุรกิจที่มีไลน์สำหรับติดต่อกับทางลูกค้าอยู่แล้ว
จุดเด่นของ LINE Myshop
- ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการลงขายของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ช่วยลดต้นทุนให้กับธุรกิจได้
- เป็นแอปพลิเคชันที่คนไทยนิยมใช้สำหรับการติดต่อสื่อสาร ทำให้มีกลุ่มเป้าหมายที่กว้างไม่แพ้กัน
- ระบบการจัดการสินค้า การสต็อก หรือแม้แต่การสร้างออเดอร์ ถือว่าใช้งานง่าย เหมาะกับมือใหม่
- สามารถเชื่อมต่อกับ Line Official ได้ หากต้องการบรอดแคสต์ข้อความ โปรโมชัน ก็ทำได้เลย
- รองรับการชำระเงินหลายช่องทาง หนึ่งในนั้นคือ Rabbit LINE Pay ที่คนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมี เนื่องจากเป็นบริการทางการเงินที่ผูกกับการใช้รถไฟฟ้า BTS
5. Amazon
สำหรับธุรกิจ SMEs ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติด้วย แพลตฟอร์มขายของออนไลน์อย่าง Amazon ถือว่าค่อนข้างตอบโจทย์ เพราะเป็นอีคอมเมิร์ซสัญชาติอเมริกันรายใหญ่ของโลก ทำให้ขายสินค้าได้ทั้งในไทยและในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งจะตอบโจทย์สินค้าที่หาซื้อได้ยาก เป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม
อย่างเช่น หากทำธุรกิจเกี่ยวกับสมุนไพรไทย น้ำหอมไทย หรือผลิตภัณฑ์ประเภทงานคราฟต์ งานฝีมือ ก็ถือว่าเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์กับแพลตฟอร์มและคนต่างชาติ เพราะเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในต่างประเทศ สามารถขายได้ราคาดี แต่การลงขายของใน Amazon จะต้องชำระค่าธรรมเนียมการขายอยู่ที่ 39.99 USD หรือราว ๆ 1,300 บาท
จุดเด่นของ Amazon
- เป็นแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่เข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก มีโอกาสในการขายมากขึ้น
- เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค มีความน่าเชื่อถือสูง
- ระบบการจัดการคลังสินค้าและการจัดส่งมีประสิทธิภาพ จัดการได้ง่าย และเป็นระบบ
- มีสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ ทำให้รองรับสินค้าได้หลายกลุ่ม และหลายธุรกิจ
- เป็นแพลตฟอร์มที่ธุรกิจขนาดเล็กหรือร้านค้ารายย่อยเติบโต โดยคิดเป็น 60% ของยอดขายทั้งหมด
หมายเหตุ: ในปัจจุบัน Amazon เชื่อมต่อกับระบบ Barcode ร้านค้าต้องมีเอกสาร หรือใบ Certificated เพื่อรับรองการเป็นเจ้าของหรือตัวแทนจำหน่าย โดยต้องมีรหัส GS1 ในการยืนยันข้อมูล ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ผู้ซื้อได้รับสินค้าที่มีมาตรฐาน เช่นเดียวกับผู้ขายที่ก็จะได้รับความน่าเชื่อถือเช่นกัน
สรุป
สำหรับแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ หรือ Online Marketplace ทั้ง 5 แพลตฟอร์ม นับว่าเป็นหนึ่งในช่องทางการขายสินค้าและบริการสำหรับผู้ที่ต้องการทำการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะการแข่งขันในยุคที่ e – Commerce เติบโตเป็นอย่างมาก และหากเจ้าของธุรกิจใดที่ขายของใน Shopee หรือ Lazada สามารถเชื่อมต่อร้านค้าเข้ากับโปรแกรมบัญชี SMEMOVE ได้แล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หรือจัดการสต็อกสินค้า ก็ดำเนินการได้ง่าย ๆ ในโปรแกรมเดียว
ทดลองใช้ฟรีได้ที่ : SMEMOVE
คู่มือการใช้งาน : HELP
ติดตามบทความอื่นๆของ SMEMOVE.com ได้ที่
บทความบัญชี: smemove.com/blog
Facebook: Facebook.com/smemove.th
Youtube: SMEMOVE