จากการเติบโตของเทคโนโลยีและ AI นับว่าส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสายงานอาชีพหลาย ๆ อาชีพ หนึ่งในนั้นคือ แนวโน้มของอาชีพนักบัญชี ที่เพียงแค่มีทักษะในการทำบัญชีที่แม่นยำอาจจะยังไม่เพียงพอในยุคปัจจุบัน รวมถึงการประกอบอาชีพในอนาคตเช่นกัน เพราะฉะนั้น ทาง SMEMOVE จะพานักบัญชีและนักการเงินมาดูกันว่า อาชีพนักบัญชีในอนาคตจะเป็นอย่างไร มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง แล้วนักบัญชีควรปรับตัวยังไงให้เท่าทันกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ บ้าง
แนวโน้มสำคัญของอาชีพนักบัญชี ปี 2025
จากการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการบัญชีในปัจจุบัน นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันที่สูงขึ้นในด้านทักษะที่สำคัญ โดยเฉพาะเทรนด์การทำบัญชีที่นักบัญชีสมัยใหม่ควรปรับตัวให้ทัน ตั้งแต่การทบทวนทักษะต่าง ๆ (Reskill) การพัฒนาทักษะความรู้ในทุกด้าน (Hard Skills) และการสื่อสารเพื่อหาทางออกจากปัญหาในองค์กร (Soft Skills) เรียกง่าย ๆ ว่า สิ่งที่นักบัญชีต้องปรับตัว ต้องครอบคลุมทั้ง Hi – Tech และ Hi – Touch ไปพร้อม ๆ กัน
1. การใช้ระบบอัตโนมัติในการทำงาน
โดยในปัจจุบันนี้ฟังก์ชันทางด้านบัญชีมีการพัฒนาพอสมควร โดยเฉพาะการบันทึกรายการแบบอัตโนมัติ (Automation) โดยที่ไม่ต้องไปนั่งบันทึกหรือว่ากรอกข้อมูลในระบบด้วยตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันนี้ระบบอัตโนมัติมีการปรับให้เหมาะสมกับธุรกิจมากขึ้น
อาทิ ระบบบันทึกเอกสารอัตโนมัติของทาง SMEMOVE เพียงแค่ส่งไฟล์หรือภาพถ่ายเอกสารผ่านทาง Line Official เท่านั้น ซึ่งระบบดังกล่าวนี้ช่วยทำให้ผู้ประกอบการทำงานได้ง่ายขึ้น ลดขึ้นตอนและความยุ่งยากทางด้านบัญชีลงได้ เพราะข้อมูลจะถูกบันทึกในโปรแกรมบัญชีโดยอัตโนมัติ เป็นต้น
2. ซอฟต์แวร์บัญชีบนคลาวด์
สำหรับซอฟต์แวร์บัญชีบนคลาวด์ (Cloud Base Accounting Software) ที่ช่วยทำให้ทำงานได้จากระยะไกล โดยที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศหรือทำงานในสำนักงานเหมือนสมัยก่อน ก็สามารถทำงานบัญชีได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้เพียงระบบเดียว
ซึ่งในปัจจุบันหลายบริษัทก็ได้นำวิธีการจัดเก็บข้อมูลทางบัญชีแบบเดิม มาใช้บริการบน Cloud กันมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาซอฟต์แวร์เอง หรือใช้บริการซอฟต์แวร์จากผู้ให้บริการด้านโปรแกรมบัญชีโดยตรง ซึ่งข้อดีคือทำให้นักบัญชีทำงานผ่านระบบได้ทุกสถานที่ โดยไม่ต้องมีเอกสารในรูปแบบกระดาษก็ทำงานบัญชีได้
3. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล และการคาดการณ์
หากเป็นนักบัญชีที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านบัญชี อาทิ ผู้ตรวจสอบบัญชี สามารถนำเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลและแสดงข้อมูลมาจัดทำงบประมาณการ หรือการวางแผนด้านบัญชีได้ง่าย ๆ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้นอกจากจะมีความสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้านตัวเลขได้อย่างแม่นยำเช่นกัน
ซึ่งหากรวมกับทักษะของนักบัญชีที่มีอยู่แล้ว ก็จะช่วยทำให้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้ดีมากยิ่งขึ้น เช่น การทำงบการเงินของบริษัท การวิเคราะห์งบกำไร – ขาดทุน ด้วยการป้อนคำสั่ง (Prompt) ในเชิงลึก เรียกง่าย ๆ ว่า นักบัญชียุคใหม่ควรมีการเรียนรู้ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ที่มากขึ้น เพื่อนำไปต่อยอดในการทำงานของตนเอง ทั้งการเลือกใช้โปรแกรมและการเลือกระบบที่เหมาะสมต่อองค์กร
4. การสร้างความปลอดภัยของข้อมูลทางบัญชี
อีกหนึ่งการปรับตัวของนักบัญชีคือการเรียนรู้เรื่อง Data Security หรือความปลอดภัยของข้อมูลทางบัญชี ที่ก็ต้องยอมรับเลยว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่ห้ามรั่วไหล และห้ามผิดพลาด เพราะอาจหมายถึงความเสียหายและผลกระทบต่อธุรกิจได้ ดังนั้น นักบัญชีต้องเรียนรู้การรักษาข้อมูลอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น การเข้ารหัส การตรวจสอบความปลอดภัย หรือบางคนอาจใช้การยืนยันตัวตนด้วย 2FA ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลได้ดีเช่นกัน
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงทางด้านบัญชีในยุคนี้คือ การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Analytics) โดยเฉพาะนักบัญชีที่ต้องรับผิดชอบการวางแผนและการตัดสินใจในหลาย ๆ ด้านด้วยตัวเอง ยิ่งถ้ามีข้อมูลเป็นจำนวนมาก ๆ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้วยตัวเอง พร้อมการคาดการณ์ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มีข้อมูลที่มาที่ไปที่ชัดเจน ก็นับว่าเป็นแต้มต่อที่สำคัญในสายงานนี้เช่นกัน เพราะนอกจากจะช่วยให้คำแนะนำที่เหมาะสมต่อบริษัทได้แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตในเชิงรุกได้อีกด้วย
6. บทบาทของ AI
ต้องยอมรับเลยว่าในยุคที่ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในยุคนี้ หลาย ๆ สายงานก็ต้องมีการปรับตัวและรับมือกับ AI พอสมควร เพราะงานบางอย่างที่เป็นรูทีนก็สามารถให้ AI เข้ามาทำงานแทนมนุษย์ได้บางส่วน เช่นเดียวกับนักบัญชีที่ต้องปรับตัวให้ทันกับ AI และนำความฉลาดของปัญญาประดิษฐ์มาบูรณาการกับงานของตนเอง
ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และแก้ไขจุดบอดบางอย่างที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เช่น ในปัจจุบันสามารถให้ Gemini สรุปข้อมูลจากไฟล์ที่บันทึกไว้ใน Google Drive ได้ง่าย ๆ ซึ่งจุดนี้ช่วยทำให้ย่นระยะเวลาในการทำงานได้มาก ซึ่งการทำงานของ AI ในปัจจุบัน ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น นักบัญชีก็ต้องติดตามเทรนด์ด้าน AI อยู่เสมอ
7. ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ภาษี และข้อบังคับ
ในปัจจุบันนี้หลาย ๆ ประเทศก็มีการเพิ่มความเข้มงวดยิ่งขึ้นในการให้นักบัญชีปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับใหม่ ๆ หนึ่งในนั้นคือ กฎหมายภาษี และมาตรฐานการทำบัญชี ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งระเบียบและข้อบังคับเหล่านี้เมื่อมีความซับซ้อนมากขึ้น ก็ย่อมส่งผลต่อการทำงานของนักบัญชีเช่นกัน
เพราะฉะนั้น ยิ่งใครที่ติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอย่างต่อเนื่อง มีวิธีการจัดการรายได้และค่าใช้จ่ายในบริษัทอย่างเชี่ยวชาญ ก็ยิ่งเป็นนักบัญชีที่ตลาดต้องการมากขึ้นเท่านั้น เพราะทักษะเหล่านี้คือทักษะด้าน Hard Skills ที่สำคัญเป็นอย่างมากต่อสายงานของนักบัญชีในยุค
รู้จักนักบัญชีนวัตกร ที่คนทำบัญชียุคใหม่ต้องไปให้ถึง
จากแนวโน้มสำคัญของสายงานด้านบัญชีดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้เลยว่าเทคโนโลยีและ AI เข้ามามีบทบาทเกือบทุกประเด็น เพราะฉะนั้น การปรับตัวของนักบัญชีจึงมีความครอบคลุมทั้งในด้านทักษะความรู้ทางด้านบัญชี การเงิน เทคโนโลยี ความเข้าใจต่อธุรกิจ กฎหมายและข้อบังคับ
และที่ขาดไม่ได้คือ การใช้เทคโนโลยีที่มีอย่างชาญฉลาด แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจอย่างเชี่ยวชาญ จนส่งผลต่อการเพิ่มความสะดวกต่อพนักงานในองค์กร การลดต้นทุนบางอย่างในธุรกิจ โดยที่ได้ประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นทักษะของนักบัญชีในอนาคต หรือที่เรียกว่า “นักบัญชีนวัตกร” นั่นเอง
สรุป
จะเห็นได้เลยว่าแนวโน้มในของอาชีพนักบัญชีในอนาคต มีหลายประเด็นมาก ๆ ที่น่าสนใจ ทั้งในด้านการปรับตัวในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในการทำงาน หรือแม้แต่การจัดทำเอกสารทางธุรกิจชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับทาง SMEMOVE ที่ได้นำระบบ AI มาใช้ในการสแกนเอกสาร สามารถส่งภาพหรือเอกสารผ่านทาง Line เพียงเท่านี้ระบบบัญชีออนไลน์ก็จะทำการบันทึกพร้อมจัดทำเอกสารให้โดยอัตโนมัติทันที
ทดลองใช้ฟรีได้ที่ : SMEMOVE
คู่มือการใช้งาน : HELP
ติดตามบทความอื่นๆของ SMEMOVE.com ได้ที่
บทความบัญชี: smemove.com/blog
Facebook: Facebook.com/smemove.th
Youtube: SMEMOVE