นี่ก็เข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลังของ พ.ศ. 2562 แล้ว ในปีนี้ก็นับได้ว่ามีเรื่องราวมากมายเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นอัตราการจ่ายภาษี ข้อกำหนดการเรียกเก็บภาษี จนถึงตอนนี้ก็ยังมีเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงกองทุน LTF ที่อาจจะถูกกองทุน SEF เข้ามาแทนที่ในช่วงปีหน้า 2563 นี้ เพื่อคลายความสงสัย และทำความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุน SEF และกองทุน LTF เรามาเริ่มทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ
SEF และ LTF คืออะไร
LTF (Long Term Equity Fund) เป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ที่เน้นการลงทุนจัดทำขึ้นมาเพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว ทำให้ตลาดหุ้นมีสภาพคล่อง มีเสถียรภาพมากขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นแรงจูงใจกับผู้ลงทุน
SEF (Sustainable Equity Fund) เป็นกองทุนหุ้นยั่งยืนแบบใหม่ที่จะนำมาใช้แทนกองทุนหุ้น LTF กองทุนหุ้น SEF จะช่วยกระตุ้นให้ผู้มีรายได้น้อย หรือรายได้ปานกลางหันมาออมเงินระยะยาวมากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำเช่นเดียวกับกองทุน LTF
แล้วกองทุน SEF ต่างจาก LTF อย่างไร
สิ่งที่ทำให้กองทุนหุ้น SEF และ LTF มีความแตกต่างกันหลักๆ แล้วก็เป็นเรื่องของนโยบายการลงทุนที่กองทุน LTF ต้องลงทุนในหุ้นไทยอย่างน้อย 65% แต่ SEF ต้องลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บวกหุ้นที่มีความยั่งยืน และธรรมมาภิบาล 65%
ทำความเข้าใจง่ายก็คือ ในกรณีที่ผู้มีรายได้ 600,000 บาทจะสามารถซื้อกองทุน LTF ได้ไม่เกิน 90,000 บาทต่อปี แต่ในกรณีกองทุน SEF ของปีหน้าในอัตรารายได้เท่ากันจะสามารถซื้อกองทุนได้สูงถึง 180,000 บาทต่อปี ในทางกลับกันหากผู้มีรายได้สูงในระดับ 4,000,000 บาทต่อปีจะสามารถซื้อกองทุน LTF ได้ 500,000 บาท แต่สำหรับการซื้อกองทุน SEF เมื่อมีรายได้ระดับนี้จะซื้อได้เพียง 250,000 บาทไม่เกินจากนี้ โดยระยะเวลาถือครองก็ 7 ปีปฏิทิน
ในปี 2562 นี้ยังสามารถซื้อกองทุนหุ้น LTF ได้อยู่ไหม
หลายคนอาจจะกำลังสงสัยว่าในเมื่อปีหน้ากองทุนหุ้น LTF กำลังจะถูกยกเลิกแล้วปีนี้ยังสามารถซื้อกองทุนได้อยู่หรือไม่คำตอบก็คือ ยังสามารถซื้อได้อยู่เหมือนเดิม แต่ปีนี้จะถือเป็นปีสุดท้ายที่สามารถซื้อได้ หลังจากพ้นปี 2562 ไปแล้วก็จะไม่สามารถซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนภาษีได้อีก
อนาคตของกองทุนหุ้น LTF จะเป็นอย่างไรในปี 2563
ในอนาคตกองทุน LTF ที่มีเหลืออยู่ในตลาดก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิมแต่เม็ดเงินจะไม่ไหลเข้ามาเพิ่ม สำหรับใครที่ถือหุ้นตัวนี้อยู่ก็ไม่ต้องกังวลใจไปเพราะทาง บลจ. จะยังบริหารเงินให้เราอยู่เหมือนเดิมไม่ได้ถูกทิ้งแต่อย่างใดแต่ขนาดในการลงทุนจะค่อยๆ ลดลงจากการขายของนักลงทุนที่ถือครองจนครบเงื่อนไขหรือขายด้วยเหตุผลอื่นๆ
แล้วสำหรับใครที่สงสัยว่าจะขายกองทุนดีไหม เราขอตอบเลยว่าตามดุลพินิจของตัวเองเลยค่ะ หากต้องการลงทุนไว้ใช้เมื่อยามเกษียณก็สามารถถือต่อไปได้ แต่ถ้าอยากขายเพราะไม่อยากทนรับความเสี่ยงก็สามารถขายได้เลย ซึ่งในการขายคุณจะต้องตรวจสอบให้ดีก่อนว่าการลงทุนของคุณครบกำหนดตามเงื่อนไขแล้วหรือยังถ้าผิดเงื่อนไข ส่วนต่างกำไรจะถูกนำไปรวมเป็นรายได้ในปีที่ขาย รวมถึงต้องคืนผลประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับจากการซื้อในครั้งนั้น และจะโดนปรับจากทาง บลจ. ด้วย
สำหรับใครที่ซื้อกองทุน LTF อย่าลืมนะคะว่าในปีนี้ยังสามารถนำไปลดหย่อนได้อยู่ ส่วนเรื่องราวของกองทุน SEF นั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็รอดูต่อไป เพราะเบื้องต้นเรื่องนี้ยังเป็นเพียงแค่ข้อเสนอของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ที่ให้ข้อมูลกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น แต่ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด
ติดตามบทความอื่นๆของ SMEMOVE.com ได้ที่
บทความบัญชี: smemove.com/blog
Facebook: Facebook.com/smemove.th
Youtube: SMEMOVE