การนำสินค้าเข้ามาในไทย โดยเฉพาะการนำเข้าในปริมาณที่มาก ๆ สิ่งที่ต้องคำนึงเป็นอย่างแรกคือ “ภาษีนำเข้า” ที่ต้องคำนวณให้ดี เช็กอัตราภาษีนำเข้าให้ละเอียด เพื่อนำไปสู่การกำหนดราคาสินค้าหรือบริการอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะธุรกิจที่นิยมใช้สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ที่จะต้องชำระภาษีนำเข้าตามอัตราที่กรมศุลกากร
ภาษีนำเข้า คืออะไร?
ภาษีนำเข้า (Import Tariff) คือ ภาษีที่ทางรัฐบาลเรียกเก็บจากผู้ที่นำสินค้าเข้ามาในประเทศไทย โดยผ่านพิธีการศุลกากร ซึ่งภาษีนำเข้าครอบคลุมทั้งการนำสินค้าเข้ามาผ่านทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ โดยทางกรมศุลกากรมีหน้าที่จัดเก็บทั้งภาษีขาเข้าและขาออก ตลอดจนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
เหตุผลที่ต้องมีการจัดเก็บภาษีนำเข้า
การจัดเก็บภาษีนำเข้านั้น มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมสินค้าในประเทศ จึงทำให้สินค้านำเข้ามีราคาที่สูงกว่าสินค้าในประเทศไทย ทั้งนี้ ก็เพื่อให้สินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้ามาได้ ทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการในไทยไม่สูญเสียรายได้ เพราะเมื่อสินค้านำเข้ามีราคาที่สูงกว่า ผู้บริโภคก็จะเลือกซื้อสินค้าในประเทศมากกว่านั่นเอง
เมื่อนำเข้าสินค้า ต้องจ่ายภาษีอะไรบ้าง?
การนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศไทย จะมีการจัดเก็บภาษี 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ ภาษีศุลกากร และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) นอกจากนี้ สินค้าในบางกลุ่มจะต้องเสียภาษีสรรพสามิตร และภาษีเพื่อมหาดไทยด้วย
1. ภาษีศุลกากร หรืออากรขาเข้า (Import Duty)
ภาษีที่ต้องชำระเป็นอย่างแรกเมื่อนำสินค้าเข้าไทยก็คือ “อากรขาเข้า” โดนเป็นภาษีนำเข้าที่ทางกรมศุลกากรเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามาในประเทศไทย โดยการคำนวณสินค้าจะใช้มูลค่าสินค้าทั้งหมด รวมค่าประกัน และค่าขนส่ง หรือ CIF (Cost, Insource, Freight) โดยจะนำมาคูณกับอัตราภาษีตามประเภทของสินค้า เพราะฉะนั้น สินค้าแต่ละชนิดจะมีอัตราภาษีที่แตกต่างกัน อาทิ
- กระเป๋าแบรนด์เนม กระเป๋าถือ ฯลฯ 20%
- นาฬิกา แว่นตา แว่นกันแดด 5%
- เสื้อผ้า รองเท้า เข็มขัด เครื่องสำอาง น้ำหอม 30%
- รถยนต์ (สันดาป) 80%
- อะไหล่รถยนต์ 30%
- อาหารเสริม 5 – 30%
- เครื่องจักร 0 – 10%
สูตร : ราคาสินค้า x อัตราภาษีขาเข้า = อากรขาเข้า
เช่น กระเป๋าแบรนด์เนมราคา 30,000 บาท จะมีค่าอากรขาเข้าอยู่ที่ 30,000 x 20% = 6,000 บาท
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%)
ลำดับต่อมาที่ต้องชำระเมื่อนำสินค้าเข้าไทยก็คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT โดยปัจจุบันอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% โดยวิธีคิดจะต้องนำมูลค่าของสินค้าแบบ CIF ที่รวมทุกอย่างแล้วเอาไปคูณกับ 7% เพื่อให้ได้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระเมื่อนำสินเค้าเข้าไทย
สูตร : (ราคาสินค้า + อากรขาเข้า) x 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม
เช่น จากตัวอย่างนำกระเป๋าเข้าไทยมูลค่า 30,000 บาท ก็จะได้ (30,000 + 6,000) x 7% = 2,520 บาท
เพราะฉะนั้น ในการนำกระเป๋าแบรนด์เนมเข้ามาไทยใน 1 ใบ โดยมีมูลค่า 30,000 บาท จะมีค่าอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกันอยู่ที่ 6,000 + 2,520 = 8,520 บาท
3. ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax)
ส่วนสินค้าบางประเภทที่นำเข้าไทย ที่ต้องเสียภาษีสรรพามิตรนั้น ก็คือกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสุรา น้ำมัน บุหรี่ เรียกง่าย ๆ ก็คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยการคำนวณอัตราภาษีจะใช้รูปแบบ “ราคาขายปลีกแนะนำ” หรือก็คือราคาที่ผู้นำเข้ากำหนดให้ผู้ขายปลีกจำหน่ายให้กับผู้บริโภคทั่วไป โดยราคาขายปลีกแนะนำให้พิจารณาจากต้นทุนการผลิต ค่าบริหารจัดการ และกำไรมาตรฐาน โดยต้องไม่ต่ำกว่าราคาขายต่อผู้บริโภคทั่วไปรายสุดท้ายในตลาดปกติ
สูตร : ราคาขายปลีกแนะนำ x อัตราภาษี = ภาษีสรรพสามิต
หมายเหตุ : สินค้ากลุ่มสุรามีการคำนวณภาษีค่าแสตมป์สรรพสามิตสำหรับสินค้าสุราในอัตราตามมูลค่า และการคำนวณในอัตราตามปริมาณ (ดีกรี)
4. ภาษีเพื่อมหาดไทย (Interior Tax)
เป็นภาษีอีกชนิดหนึ่งที่กำหนดโดยกระทรวงมหาดไทย โดยผู้ที่ต้องเสียภาษีเพื่อมหาดไทยนั้น จะต้องมีการเสียภาษีสรรพสามิตมาก่อนแล้ว โดยภาษีมหาดไทยจะคิดอยู่ที่ 10% ของภาษีสรรพสามิต
สูตร : ภาษีสรรพสามิต x อัตราภาษีเพื่อมหาดไทย 10% = ภาษีเพื่อมหาดไทย
จะเห็นได้เลยว่า การนำสินค้าเข้าไทยนั้น มีการคิดภาษีนำเข้าหลายขั้นตอน และอัตราภาษีนำเข้าของทางกรมศุลกากรเองก็ไม่ได้กำหนดตายตัว ว่าจะต้องจ่ายภาษีนำเข้าเท่าไหร่บ้าง เพราะสินค้าบางรายการก็มีการกำหนดข้อยกเว้นให้ด้วย เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หากไม่เกิน 1 ลิตร ก็ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า แต่หากเกินก็ต้องเสียภาษีตามอัตราที่กำหนด ซึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็จะมีอัตราภาษีสุราที่แตกต่างกันตามชนิดของเครื่องดื่มนั้น ๆ
สรุป
เพราะฉะนั้น หากใครประกอบธุรกิจที่ต้องใช้สินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามา อย่าลืมเช็กภาษีนำเข้าให้เรียบร้อย ว่ามีอัตราภาษีกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วต้องคิดอัตราค่าสินค้าหรือบริการอย่างไรในการประกอบธุรกิจ เพื่อไม่ให้ขาดทุน สามารถคุมค่าใช้จ่ายได้ดี และหากไม่อยากคำนวณภาษีและค่าใช้จ่ายผิดพลาด เพียงเลือกใช้โปรแกรมบัญชี SMEMOVE ก็จะช่วยจัดการและบริหารค่าใช้จ่ายได้ง่าย ๆ ในโปรแกรมเดียว
ทดลองใช้ฟรีได้ที่ : SMEMOVE
คู่มือการใช้งาน : HELP
ติดตามบทความอื่นๆของ SMEMOVE.com ได้ที่
บทความบัญชี: smemove.com/blog
Facebook: Facebook.com/smemove.th
Youtube: SMEMOVE