การเริ่มต้นทำธุรกิจหรือประกอบกิจการชนิดใดก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำก็คือ การวางแผนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้รู้ว่าธุรกิจจะเป็นไปในทิศทางไหน มีการบริหารและการจัดการอย่างไร ซึ่งการทำ Business Plan หรือ การเขียนแผนธุรกิจ ถือเป็นหนึ่งในตัวช่วยชั้นดี ที่จะทำให้การดำเนินกิจการราบรื่น ไม่มีปัญหา และที่สำคัญ สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมืออาชีพ
Business Plan คืออะไร?
คำว่า Business Plan หรือ แผนธุรกิจ หมายถึง การสร้างภาพรวมของธุรกิจ โดยเริ่มตั้งแต่แนวคิดในการทำธุรกิจ ข้อมูลพื้นฐานของกิจการ วิธีดำเนินการ จุดแข็งและจุดอ่อนที่มี และที่ขาดไม่ได้คือ การเงิน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ใช่แค่ทำให้เห็นภาพรวมของธุรกิจเท่านั้น แต่ยังทำให้พนักงานทุกคนในบริษัท มีเป้าหมายในการทำงานเหมือนกัน ภายใต้หน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมายอีกด้วย
โดยการทำแผนธุรกิจที่ดี จะต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่าง ๆ อย่างครอบคลุม หนึ่งในนั้นคือ แผนการตลาด รวมถึงการวางแผนและการคาดการณ์ทางการเงิน เพื่อทำให้รู้ว่าธุรกิจจะเติบโตไปในทิศทางไหนได้บ้าง มีการจัดการต่อสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไร เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายตามที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งหากธุรกิจใดที่มีการทำ Business Plan ที่ดีก็จะทำให้ธุรกิจเติบโต และประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
การเขียน Business Plan ยุคใหม่ปี 2025 ควรมีอะไรบ้าง?
การเขียน Business Plan หรือ แผนธุรกิจที่ดีและมีคุณภาพ ตอบโจทย์การประกอบธุรกิจในยุคดิจิทัล ปี 2025 นี้ นอกเหนือจากการวางโครงสร้างของการดำเนินกิจการแล้ว ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ ที่มีบทบาทต่อธุรกิจเช่นกัน เพราะฉะนั้น ก่อนเริ่มต้นเขียนแผนธุรกิจ มาลองดูกันว่าองค์ประกอบที่สำคัญของการทำ Business Plan มีอะไรบ้าง แล้วต้องเขียนยังไงเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและไม่เกิดปัญหา
1. Business Idea
การทำแผนธุรกิจขั้นแรกก็คือ การวาง Business Idea หรือ “แนวคิดหลักในการทำธุรกิจ” ซึ่งเป็นการสรุปไอเดียว่าภาพรวมของธุรกิจคืออะไร โครงสร้างเป็นอย่างไรบ้าง และโอกาสในการเติบโตมีมากน้อยแค่ไหน มีเป้าหมายอย่างไรบ้าง เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นการบอกภาพรวมทั้งหมดของธุรกิจที่ต้องทำนั่นเอง
สำหรับองค์ประกอบของ Business Idea ต้องประกอบไปด้วย ภาพรวมของธุรกิจ, โอกาสและการแข่งขันในตลาด, เป้าหมายที่วางเอาไว้, กลยุทธ์ต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จตามเป้าที่วางเอาไว้, แผนการลงทุน ความเสี่ยง และแนวทางการบริหารเงิน และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการทำธุรกิจ โดยไม่ได้รวมแค่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แต่ยังรวมไปถึงจำนวนพนักงานในองค์กรด้วย
2. Business Background
หรือจะเรียกว่า “ความเป็นมาของธุรกิจ” ก็ได้เช่นกัน โดยต้องมีประวัติของธุรกิจ รวมถึงการทำบทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary) หุ้นส่วน สินค้าและบริการ โดยอาจจะทำให้เห็นภาพรวมหลัก ๆ ที่สำคัญก็ได้ เช่น เป้าหมาย วิสัยทัศน์ และพันธกิจขององค์กร
3. Brand Analysis
อีกหนึ่งส่วนประกอบของแผนธุรกิจก็คือ การทำ Brand Analysis หรือ Business Analysis ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ธุรกิจโดยนำข้อมูลจากแนวคิดของธุรกิจ และ Business Background มาวิเคราะห์ต่อ เพื่อทำให้เห็นว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจคืออะไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ซึ่งการวิเคราะห์ในด้านนี้จะทำให้เห็นถึงสภาพการตลาด ขนาดของตลาด อัตราการเติบโต เทรนด์ของตลาด คู่แข่ง ลูกค้า โอกาสทางธุรกิจ รวมถึงอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น
4. Marketing Plan
การวางแผนการตลาด หรือ Marketing Plan เป็นการวางกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่สำคัญต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง ทำให้มียอดขาย โดยอาจจะเลือกใช้วิธีการทำการตลาดแบบ 4P หรือการวางแผนการตลาดแบบผสมผสาน ระหว่าง Product, Price, Place และ Promotion นอกจากนี้ อาจจะต้องวางแผนการโปรโมตด้วย เช่น การเลือกว่าจะทำการตลาดออนไลน์ผ่านทาง Facebook เพื่อโปรโมตสินค้า เป็นต้น
ทั้งนี้ การวางแผนการตลาดที่ดี อาจจะต้องใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มยอดขายบให้กับธุรกิจ โดยกลยุทธ์ที่นักธุรกิจมือใหม่ควรรู้จักก็คือ
- Product Strategy (กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์)
- Price Strategy (กลยุทธ์ราคา)
- Place Strategy (กลยุทธ์การจัดจำหน่าย)
- Promotion Strategy (กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด)
- Public Relation Strategy (กลยุทธ์การให้ข่าวสาร)
- Personal Strategy (กลยุทธ์ด้านการใช้พนักงานขาย)
- People Strategy (กลยุทธ์เพื่อสร้างการสนับสนุนจากผู้คน)
- Packaging Strategy (กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์)
- Partners Strategy (กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน)
- Perception Strategy (กลยุทธ์ความเข้าใจ)
และที่ขาดไม่ได้คือ การวางแผนการตลาดจะต้องทำควบคู่กันไปกับแผนการขาย (Sales Plan) โดยจะต้องมีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ชัดเจน การวางกลยุทธ์ทางการขาย การกำหนดกลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจ การกำหนดราคา การวางกลยุทธ์ส่งเสริมการขาย การติดตามผลการดำเนินงาน และที่สำคัญคือ การกำหนดว่าจะเพิ่มยอดขายอย่างไรบ้างในแต่ละช่วงเวลา เช่น กำหนดว่าวในปีหน้ายอดขายต้องเพิ่มขึ้น 15 – 30% เป็นต้น
5. Operation Plan
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแผนการปฏิบัติงาน โดยเป็นการวางโครงสร้างธุรกิจ ด้วยการวางแผนการผลิตสินค้าหรือบริการ โดยจะต้องมีทั้งเป้าหมายในการผลิต กระบวนการ แหล่งวัตถุดิบที่ใช้ การจัดการสินค้าคงคลัง บุคลากร เทคโนโลยี และอุปกรณ์ที่ใช้ในธุรกิจ เช่น ใช้ระบบ POS ในการขายสินค้า
แน่นอนว่า การวางแผนในการปฏิบัติงานอย่างครอบคลุม ก็จะทำให้เห็นว่าธุรกิจมีต้นทุนมากน้อยแค่ไหนในแต่ละกระบวนการ และจะต้องควบคุมคุณภาพหรือวัตถุดิบอย่างไร เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพเช่นเดิม โดยการวางแผนการดำเนินงานในการเขียนแผนธุรกิจ จะเห็นผลได้ชัดที่สุดก็ต่อเมื่อมีพนักงานเพิ่มมากขึ้น มีการขยายธุรกิจ ซึ่งก็มีความคาบเกี่ยวกับโครงสร้างขององค์กรด้วยเช่นกัน
6. Financial Plan
หรือการวางแผนการเงิน ซึ่งทุกธุรกิจจะมีการลงทุนและต้นทุนที่แตกต่างกัน แต่การทำธุรกิจย่อมหมายถึงการลงทุนที่มีความเสี่ยงเช่นกัน ดังนั้น การเริ่มต้นทำธุรกิจที่ดี จะต้องวางแผนทางการเงินให้รัดกุม มีความรอบคอบ เพราะหากวางแผนไว้ไม่ดีก็อาจเสี่ยงต่อการขาดทุนโดยไม่รู้ตัวได้
อย่างเช่น ตั้งราคาจำหน่ายเพื่อทำให้สินค้าซื้อง่ายขายคล่อง แต่ราคาไม่ได้สัมพันธ์กับวัตถุดิบที่เลือกใช้ หรือไม่ได้คำนวณต้นทุนแฝงของวัตถุดิบที่หมดอายุเร็ว ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการเขียนแผนธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่ม และกลุ่มธุรกิจร้านกาแฟ ที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน
7. Emergency Plan
ลำดับสุดท้ายที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการดำเนินธุรกิจ ก็คือการเตรียม “แผนสำรอง” หรือ “แผนฉุกเฉิน” เพื่อให้รับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างเป็นระบบ เช่น ในสภาวะที่ต้องเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจซบเซา การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค และที่ขาดไม่ได้คือ ภาวะเงินเฟ้อ ที่ทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น สวนทางกับรายได้ของประชากร ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้กลุ่มลูกค้าที่วางไว้หายไป เพราะต้องลดค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ไม่จำเป็นออก ดังนั้น ทุกธุรกิจควรมีแผนสำรองฉุกเฉินต่อความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่าง ๆ เอาไว้ด้วย ก่อนเริ่มต้นเปิดบริษัทอย่างเป็นทางการ
สรุป
โดยภาพรวมแล้วการทำ Business Plan หรือ แผนธุรกิจ ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างเป็นทางการ หรือเปิดบริษัทใหม่ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการมองเห็นภาพรวมของธุรกิจได้มากขึ้น มีแผนสำรองและแพลนต่าง ๆ ในการดำเนินกิจการอย่างชัดเจน และในการทำแผนธุรกิจบางอย่าง อาจจะต้องมีการระบุรายละเอียดในด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน อาทิ แผนโลจิสติกส์ ที่จะมีรายละเอียดทั้ง Supplier, รูปแบบการจัดส่งสินค้า, การสต็อกสินค้า รวมถึงการทำงานร่วมกับ Partner ซึ่งการทำแผนธุรกิจที่ดีจะต้องทำให้เหมาะสมกับธุรกิจ และมีความรัดกุมทั้งการดำเนินกิจการ รวมถึงการจัดการเอกสารทางธุรกิจอย่างเป็นขั้นตอน
ทดลองใช้ฟรีได้ที่ : SMEMOVE
คู่มือการใช้งาน : HELP
ติดตามบทความอื่นๆของ SMEMOVE.com ได้ที่
บทความบัญชี: smemove.com/blog
Facebook: Facebook.com/smemove.th
Youtube: SMEMOVE