หนึ่งในประเด็นที่กลุ่มคนทำงานเป็นฟรีแลนซ์ (Freelance) อยากรู้และสงสัยกันมากที่สุด ก็คงไม่พ้นประเด็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและความมั่นคงในสายงาน โดยเฉพาะการจดทะเบียนนิติบุคคล หรือการเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง ว่าควรทำดีหรือไม่ แล้วการเปิดบริษัทมีอะไรบ้างที่ต้องรู้ มีการเตรียมตัวอย่างไร และที่สำคัญคือ การเปิดธุรกิจอย่างเป็นทางการจะคุ้มค่าหรือไม่ เพราะฉะนั้น มาดูกันว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง
การทำงานเป็น Freelance คืออะไร?
การทำงานในรูปแบบของฟรีแลนซ์ (Freelance) คือ การรับจ้างงานทั่วไป โดยรับรายได้เป็นครั้งคราว ไม่ได้มีข้อผูกพันกับผู้ว่าจ้างในรูปแบบของเจ้านายและลูกน้อง ซึ่งการทำงานเป้นฟรีแลนซ์สามารถครอบคลุมได้หลายแบบ ทั้งผู้ที่มีงานประจำทำอยู่แล้วทำงานฟรีแลนซ์เป็นอาชีพเสริม หรือว่าฟรีแลนซ์ที่ทำงานหลาย ๆ งานในวันเดียว
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มฟรีแลนซ์ที่ทำงานเป็นโปรเจกต์ และการทำงานที่คล้ายกับงานประจำร่วมกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง โดยไม่ได้มีข้อผูกมัดเหมือนพนักงานประจำ แต่จะผูกมัดกันเป็นระยะเวลาสั้น ๆ หรือตามจำนวนงานที่ตกลงกันไว้ เช่น รับทำกราฟิกกับบริษัท A เป็นจำนวน 20 งาน/เดือน ด้วยค่าจ้าง 20,000 บาท เป็นต้น
รายได้ของฟรีแลนซ์ถือเป็นรายได้แบบไหน?
สำหรับรายได้ของฟรีแลนซ์จะถูกจัดเป็นเงินได้ประเภทที่ 2 หรือมาตรา 40(2) คือ รายได้รูปแบบการรับจ้างทั่วไป โดยเป็นการทำงานให้เป็นครั้งคราว ซึ่งรายได้ประเภทนี้จะครอบคลุมไปถึงรายได้จากค่าคอมมิชชั่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ฯลฯ ที่เราคุ้นชินกันอยู่แล้วในการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแต่ละปี
เป็นฟรีแลนซ์จ่ายภาษีเยอะ ควรจดทะเบียนบริษัทดีไหม?
เชื่อว่าฟรีแลนซ์หลาย ๆ คน คงมีความคิดว่าอยากจดทะเบียนนิติบุคคลไปเลย เพราะว่าเสียภาษีเยอะ การเปิดบริษัทอาจจะเป็นวิธีการประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ เพราะสามารถเสียภาษีตามฐานนิติบุคคลได้เลย แต่จริง ๆ แล้วการเปิดบริษัทไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องภาษีเท่านั้นที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะยังมีรายละเอียดอื่น ๆ อีกมาก เพราะฉะนั้น เราจะมาลิสต์ให้ดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ฟรีแลนซ์ต้องคำนึงก่อนเปิดบริษัท
1. ต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อเปิดบริษัท
จริงอยู่ที่ว่าการเปิดบริษัทอาจจะประหยัดภาษีได้ เพราะสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ แต่ว่าต้นทุนในที่นี้ไม่ได้มรเพียงแค่อุปกรณ์ในการทำงานเท่านั้น เพราะยังมีค่าใช้จ่ายที่เรียกว่า ค่าทำบัญชี และค่าสอบบัญชี ที่บริษัทจะต้องแสดงเอกสารงบการเงินทุกปี และมีผู้ตรวจสอบบัญชีมาตรวจเช็กความถูกต้อง โดยรายละเอียดตรงนี้จะมีค่าดำเนินการที่เพิ่มเข้ามาอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการจ้างทีมงานหรือพนักงานในบริษัท เช่น หากต้องการเปิดบริษัทเอเจนซี่ เพื่อรับงานโฆษณา ผลิตสื่อต่าง ๆ ก็ต้องจ้างทีมงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีความพร้อมต่อการทำงานในปริมาณที่มากขึ้นเช่นกัน และไม่ใช่แค่การจ้างงานเท่านั้นที่ถูกเพิ่มเข้ามา แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มขึ้น หนึ่งในนั้นคือการสมทบเงินเข้ากองทุนประกันสังคมในอัตราที่เท่ากับที่หักจากเงินเดือนของพนักงานอีก 5% ด้วย
แน่นอนว่า ค่าใช้หรือต้นทุนแฝงที่เพิ่มเข้ามานี้ ยังไม่นับรวมการบริหารและการจัดการภายในองค์กร ตลอดจนอุปกรณ์และสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ต้องมีในการประกอบกิจการ เพราะเมื่อไหร่ที่มีการขยายธุรกิจจากการเปิดบริษัทแล้ว ก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของหน้าบ้านและหลังบ้านด้วยเช่นกัน
2. การทำความเข้าใจเรื่องภาษี บัญชี และการจด VAT
ประเด็นด้านการเงินที่นอกเหนือจากต้นทุนต่าง ๆ แล้ว ยังมีประเด็นเรื่องภาษี การทำบัญชี และการจด VAT ที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน อาทิ หากรายได้ของกิจการถึ 1.8 ล้าน จะต้องดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ด้วย (หากเป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้าน ก็ต้องจด VAT เช่นกัน) ซึ่งเมื่อมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ก็ต้องคำนวณการให้บริการจากการรับจ้างด้วย ว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่รวม VAT แล้วหรือยัง
นอกจากนี้ การทำบัญชีก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะต้องวางระบบรายรับ รายจ่าย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างละเอียด และมีระบบอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้มีปัญหาในภายหลัง ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องมีนักบัญชีอย่างน้อย 1 คน ที่ช่วยจัดการเอกสารทางธุรกิจ และดำเนินการในด้านต่าง ๆ แทน หรือหากเจ้าของกิจการทำเอง ก็หมายถึงต้นทุนด้านเวลาที่เพิ่มมาด้วย
3. กลุ่มลูกค้าของธุรกิจ และรายได้ในระยะยาว
และอีกหนึ่งประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม คือ กลุ่มลูกค้าของธุรกิจ เพราะหมายถึงจำนวนคู่แข่งในตลาดเช่นกัน อาทิ หากเปิดธุรกิจทำเอเจนซี่ ก็ต้องมีบริการที่ครอบคลุมพอต่อการรับงานกับองค์กรที่หลากหลาย มีจุดเด่นของตัวเอง ยังไม่นับการแข่งขันด้านราคา ที่ต้องบริหารและจัดการให้ดีกับต้นทุนต่าง ๆ ที่ต้องแบกรับ นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณารายได้จากธุรกิจในระยะยาวด้วย ซึ่งก็อาจจะต้องวาง Business Plan อย่างชัดเจน ว่าเป้าหมายและการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง มีกลยุทธ์อะไรที่ต้องใช้ในการดำเนินกิจการ
เมื่อไหร่ที่ควรจดบริษัทแทนการเป็นฟรีแลนซ์?
หากตอบคำถามตัวเองแล้วว่า อยากเปลี่ยนจาก Freelance มาเป็นเจ้าของธุรกิจเต็มตัวแล้ว แต่ยังลังเลว่าจะจดบริษัทดีหรือไม่ สิ่งที่สามารถให้คำตอบได้ดีที่สุดคือ “อัตราภาษีที่ต้องจ่าย” ซึ่งหากการเป็นฟรีแลนซ์มีภาษีที่ต้องเสียมากกว่า 20% ทั้งยังหักค่าใช้จ่ายได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ทำให้รายได้ที่มีไม่คุ้มค่าเหนื่อย ก็ถือว่าการจดบริษัทอย่างเป็นรูปธรรมอาจจะคุ้มค่ามากกว่า เพียงแค่ต้องบริหารและจัดการเรื่องแผนธุรกิจให้ดี มีความรอบคอบ และที่สำคัญคือ ต้องมั่นใจแล้วว่าสามารถอยู่กับสายงานนี้ได้ในระยะยาว
วิธีการยื่นขอจดทะเบียนบริษัท ฉบับรวบรัด พร้อมค่าใช้จ่าย
- ยื่นขอจดทะเบียนบริษัท ด้วยหนังสือบริคณห์สนธิ โดยระบุข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียด
- จองชื่อบริษัทผ่านทางเว็บไซต์ http://dbd.go.th/ หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด
- ดำเนินการจองซื้อหุ้นและประชุมผู้ถือหุ้น พร้อมกำหนดจำนวนหุ้นบุริมสุทธิ
- ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนบริษัทหนังสือบริคณห์สนธิ แสนละ 50 บาท (ขั้นต่ำ 500 บาท)
- ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนบริษัท คิดตามทุนจดทะเบียนแสนละ 500 บาท (ขั้นต่ำ 5,000 บาท)
- ชำระค่าธรรมเนียมการออกหนังสือรับรอง 200 บาท
- ชำระใบสำคัญการจดทะเบียนบริษัท 100 บาท/ฉบับ
- ค่ารับรองสำเนาเอกสาร หน้าละ 50 บาท
สรุป
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเหล่า Freelance จะเลือกจดบริษัทอย่างเป็นทางการหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นเป้าหมายของชีวิตมากน้อยแค่ไหน และหากตัดสินใจแล้วว่าจะจดทะเบียนนิติบุคคลอย่างเป็นทางการ ก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลด้านเอกสารทางธุรกิจและบัญชีให้เรียบร้อย เพื่อให้การดำเนินกิจการไม่มีสะดุดนั่นเอง
ทดลองใช้ฟรีได้ที่ : SMEMOVE
คู่มือการใช้งาน : HELP
ติดตามบทความอื่นๆของ SMEMOVE.com ได้ที่
บทความบัญชี: smemove.com/blog
Facebook: Facebook.com/smemove.th
Youtube: SMEMOVE