ถึงแม้เรื่องราวของกฎหมาย E-Payment (อีเพย์เมนต์) จะผ่านมาสักพักหลายคนที่สนใจคงจะรับทราบเรื่องราวกันมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ทาง SMEMOVE ขอกลับมาบอกเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับกฎหมายอีเพย์เมนต์อีกครั้ง โดยวันนี้จะเป็นการสรุปเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกฎหมายอีเพย์เมนต์ ที่คุณอ่านแล้วจะเข้าอย่างง่ายดายในบทความเดียว
E-Payment คืออะไร
E-Payment หรืออีเพย์เมนต์คือรูปแบบการจ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็นการรูดบัตร การทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ผ่านเจ้าหน้าที่ของธนาคาร แต่จะเป็นการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือใช้ระบบอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางที่มอบความรวดเร็ว สะดวกสบายในการทำธุรกรรมทางการเงิน
กฎหมาย E-Payment คืออะไร
กฎหมาย E-Payment หรือพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 เกิดขึ้นเพื่อรองรับระบบภาษี และเอกสารธุรกรรมทางการอิเล็กทรอนิกส์ ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการนำส่งเงินภาษี การยื่นรายการ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากร
กฎหมาย E-Payment มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ใช้กับใครบ้าง
กฎหมายอีเพย์เมนต์มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2562 โดยสถาบันการเงินจะทำหน้าที่ในการนำส่งรายงานทางการเงินครั้งแรกต่อกรมสรรพากร ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 ส่วนผลการบังคับบังใช้ผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงคงหนีไม่พ้นกันทุกคนเพราะไม่ว่าจะเป็นร้านค้าออนไลน์ พ่อค้า-แม่ค้า มนุษย์เงินเดือน อาชีพรับจ้าง ต่างก็ทำธุรกรรมทางการเงินกันอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกฎหมายนี้ไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง หากก่อนหน้านี้ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่ไม่ได้มีการยื่นเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการตรวจสอบเพื่อเก็บภาษีย้อนหลัง
เงื่อนไข กฎหมาย E-Payment
– กฎหมายจะมีผลก็ต่อเมื่อมีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไปใน 1 ปี โดยจะทำการนับเฉพาะจำนวนครั้งที่รับโอนเงิน หากใน 1 ปีมีรายการเกิน 3,000 ครั้งทางธนาคารจะทำการยื่นส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากรเพื่อทำการตรวจสอบไม่ว่ามูลค่าในการโอนจะมาก หรือน้อยก็ตาม
– กฎหมายจะมีผลก็ต่อเมื่อมีการฝาก หรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกัน (บัญชีชื่อเดียวกัน) ตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไป และมียอดเงินรวมกันตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไปใน 1 ปี ในกรณีที่ยอดโอนที่ไม่ตรงกับเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งบัญชีของคุณจะไม่ถูกตรวจสอบ เช่นใน 1 ปีคุณฝาก หรือรับโอน 300 ครั้งโดยมีจำนวนเงินรวมกันเกิน 2 ล้านบาทบัญชีของคุณก็จะไม่ได้รับการยื่นส่งตรวจสอบ เพราะตรงกับเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดเพียงครึ่งเดียว
หมายเหตุ การนับยอดรายการทำธุรกรรมจะเป็นแบบปีต่อปี โดยจะทำการนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของปีนั้นๆ ซึ่งข้อมูลที่ส่งจะแยกเป็นรายสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (แต่ละธนาคาร) ไม่ได้รวมข้อมูลหรือเชื่อมโยงกันถึงแม้จะมีชื่อเจ้าของบัญชีเดียวกัน
การเตรียมตัวสำหรับกฎหมายตัวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร หากเป็นบุคคลธรรมดารับเงินตามปกติก็ไม่น่าจะโดนตรวจสอบอะไร แต่หากว่ามีกิจการ หรือธุรกิจขนาดเล็กเป็นของตัวเอง SMEMOVE ขอแนะนำให้ทำการเสียภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมาย มีการเก็บหลักฐานทางการเงิน มีการจัดทำบัญชีที่ถูกต้อง
ถึงแม้ว่าการจัดทำบัญชีอาจเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายๆ คนแต่ปัจจุบันมีเครื่องมือและตัวช่วยมากมายที่พร้อมให้คุณใช้งานอย่างโปรแกรมบันทึกบัญชีออนไลน์ SMEMOVE โปรแกรมสำหรับทำบัญชีแบบออนไลน์ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับคนทำธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะทำเอกสารซื้อ ขาย จ่าย เสียภาษี จัดทำงบบัญชี ก็สามารถทำได้ในที่เดียว โปรแกรมเดียวจบครบทุกเรื่องบัญชี
ทดลองใช้ฟรีได้ที่ : SMEMOVE
คู่มือการใช้งาน : HELP
ติดตามบทความอื่นๆของ SMEMOVE.com ได้ที่
บทความบัญชี: smemove.com/blog
Facebook: Facebook.com/smemove.th
Youtube: SMEMOVE