และแล้วก็เข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของการเรียนรู้กับชั่วโมงการเรียนรู้สุดพิเศษที่มีทีมงานของทาง Central Marketing Group มาช่วยแบ่งปันการพัฒนากลยุทธ์ในขั้นตอนที่ 2 ของการค้าขายผ่านทางรูปแบบดิจิทัล แถมด้วยวิธีการวิเคราะห์สื่อโฆษณาที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ในการเลือกสื่อโฆษณาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทคุณ
1. ให้ความสำคัญกับระยะเวลาที่ผู้บริโภคจะเห็นและอ่านโฆษณาของคุณ
โดย VANITCHA (RY) WANKAWISANT, ACOMMERCE SOCIAL MEDIA MARKETING LEAD
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนั้นสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ มีการใช้งานของผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง ซึ่งสื่อต่าง ๆ เหล่านี้แหละ ที่เราสามารถจะใช้ในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของเราได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือคุณสามารถที่จะโฆณาให้คนในประเทศอื่น ๆ เห็นผลิตภัณฑ์ของคุณได้อีกด้วย สำหรับการใช้งานของสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ จะมีจำนวนผู้ใช้เท่าไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย
- Facebook – มีจำนวนผู้ใช้งานประจำในไทย 47 ล้านบัญชี โดยมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานปีต่อปีอยู่ที่ 15%
- Instagram – มีจำนวนผู้ใช้งานประจำในไทย 11 ล้านบัญชี โดยมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานปีต่อปีอยู่ที่ 41% และมีการใช้งานอยู่ในอันดับที่ 13 ของผู้ใช้ทั่วโลก
- LINE – มีจำนวนผู้ใช้งานประจำในไทย 41 ล้านบัญชี โดยมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานปีต่อปีอยู่ที่ 24% และมีการใช้งานอยู่ในอันดับที่ 2 ของผู้ใช้ทั่วโลก
แน่นอนว่าเมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมากขนาดนี้ บริษัทผู้ผลิตต่าง ๆ จะพยายามแย่งพื้นที่การโฆษณาจากสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องให้ความสนใจก็คือเรื่องของระยะเวลาที่ผู้บริโภคจะเห็นและอ่านโฆษณาผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งจะมีระยะเวลาดังต่อไปนี้
จะเห็นได้ว่าการโฆษณาใน Facebook นั้น ผู้ที่จะเห็นโฆษณาของเรามีระยะเวลาอยู่ที่ 2.5 วินาที สำหรับการเข้าชมผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์ สำหรับการใช้งานผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่นั้นจะมีระยะเวลาอยู่ที่ 1.7 วินาที ที่ผู้บริโภคจะเห็นโฆษณาของคุณ ดังนั้น ให้คุณคิดว่าจะทำป้ายโฆษณาอย่างไรให้ภายในระยะ 1.7 วินาที ที่ผู้ใช้มองเห็นโฆษณาของคุณเกิดความสนใจในการอ่านและดูโฆษณาของคุณจนจบจะเป็นการดีที่สุด
2. ให้ความสำคัญและลงทุนกับช่องทางการตลาดที่มีผลกับการขายมากที่สุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
โดย WATASIT (BOOK) CHINDAKAWEE, ACOMMERCE ASSOCIATE INTERNET MARKETING MANAGER, ANALYTICS & MARKETING TECH TEAM LEAD
การกว้านซื้อโฆษณาบนสื่อออนไลน์ต่าง ๆ แบบกระจายนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะนั่นหมายถึงโอกาสในการที่ผู้บริโภคจะเห็นโฆษณาผลิตภัณฑ์ของคุณมากขึ้น ทว่า ปัญหาที่ตามมาก็คือต้นทุนบริษัทของคุณจะสูงมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือคุณควรกำหนดเป้าหมายผลิตภัณฑ์ของคุณให้ได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ของคุณจะมีเป้าหมายเป็นผู้บริโภคในกลุ่มใด หลังจากนั้นให้คุณเลือกสื่อโฆษณาที่คุณพิจารณาแล้วว่าเหมาะสมมากที่สุดเพียงสื่อเดียวก่อน
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสื่อโฆษณาออนไลน์สื่อไหนเหมาะกับผลิตภัณฑ์ของเรามากที่สุด ทาง Google เองมีคำตอบให้กับ Google Analytics 360 Suite ที่มีการแบ่งโมเดลย่อยออกเป็น 3 โมเดล ดังรูปภาพต่อไปนี้
- Last Click Model – จากภาพจะเห็นได้ว่าเครื่องมือดังกล่าวนี้ของทาง Google ให้ความสำคัญกับ Last Touch หรือจุดที่ผู้บริโภคกดซื้อผลิตภัณฑ์มากที่สุด ดังนั้น จุดที่คุณควรให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือสื่อที่ผู้บริโภคได้สิ้นสุดการซื้ออย่างสมบูรณ์
- Linear Model – สำหรับโมเดลดังกล่าวนี้จะให้ความสำคัญกับการเดินทางตั้งแต่ผู้บริโภคได้เห็นโฆษณาของคุณแล้วมีการคลิกผ่านไปจนถึงจุดสุดท้ายที่ผู้บริโภคซื้อผลิตภัณฑ์เท่ากันทั้งหมด
- Data Driven Model – สำหรับโมเดลสุดท้ายนั้นจะให้ความสำคัญตามลำดับของข้อมูลที่ผู้บริโภคได้เห็นข้อมูลผลิตภัณฑ์ของคุณไปจนถึงจุดสิ้นสุดการซื้อที่แตกต่างกันออกไป
ในการเลือกใช้โมเดลต่าง ๆ นั้น คุณจะต้องคำนึงถึงปัจจัย 2 อย่าง นั่นคือวัตถุประสงค์การตลาดของคุณและเงินทุนที่คุณจะใช้ในการทำธุรกิจออนไลน์ เพื่อที่จะทำให้ Return on Investment (ROI) ออกมาได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
3. ไม่มีสงครามสำหรับการขายแบบออฟไลน์และการขายแบบออนไลน์
NITTHAKORN (BIRD) WONGWAN, CENTRAL MARKETING GROUP GENERAL MANAGER E-BUSINESS
ปิดท้ายงานประชุมด้วยแขกรับเชิญจากทาง Central Group อย่างคุณ NITTHAKORN (BIRD) WONGWAN โดยเธอได้อธิบายไว้ว่าการเปลี่ยนถ่ายจากบริษัทผู้ขายแบบออฟไลน์ไปเป็นผู้ขายแบบออนไลน์นั้นมีปัจจัยในการคำนึงถึงอยู่ 4 อย่างด้วยกัน คือ
- Aging Society – สังคมผู้สูงอายุ
- Urbanization – การเติบโตของสังคมเมือง
- Rise of China and India’s Digital Society – ปัจจัยเสี่ยงจากผู้ให้บริการที่มาจากประเทศจีนและอินเดีย
- Digital Revolution – การปฏิวัติวงการดิจิทัล
เพื่อที่จะทำให้การก้าวผ่านจากผู้ขายออฟ์ไลน์มาเป็นผู้ขายออนไลน์นั้น ทางเซ็นทรัลได้จำแนกข้อดีของการซื้อขายทั้ง 2 รูปแบบไว้ดังต่อไปนี้
จะเห็นได้ว่าช่องทางการจำหน่ายทั้ง 2 รูปแบบนั้นมีข้อดีแตกต่างกันไป ดังนั้น ในการเปลี่ยนถ่ายครั้งนี้ทางเซ็นทรัลเองยังคงพัฒนาการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในรูปแบบออฟไลน์ต่อไปควบคู่กันไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นทางเซ็นทรัลไม่คิดว่าการจำหน่ายสินค้าแบบออนไลน์นั้นจะเข้ามาแทนที่แบบออฟไลน์ได้ โดยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ช่องทางนั้นจะทำควบคู่กันไป ไม่ใช่ว่ามีช่องทางการจำหน่ายใดที่จะสามารถตอบสนองผู้บริโภคได้ทั้งหมด
ที่มา : eIQ Insights
ติดตามบทความอื่นๆของ SMEMOVE.com ได้ที่
บทความบัญชี: smemove.com/blog
Facebook: Facebook.com/smemove.th
Youtube: SMEMOVE